oemodmのブログ

About Beauty & Healthy

วิธีสังเกต เครื่องสำอางที่ปลอดภภัย ดูอย่างไร


ในยุคที่สังคมให้ความสำคัญกับความสวยความงาม ธุรกิจเครื่องสำอางทั้งของผู้หญิงและผู้ชายจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากโฆษณาที่กล่าวอ้างถึงสรรพคุณทั้งในแง่ช่วยหน้าขาวใส ไร้สิว รูขุมขนกระชับ ช่วยลดริ้วรอยในเวลาชั่วข้ามคืน ช่วยชะลอวัยต้านอนุมูลอิสระ แต่ก่อนที่สาวๆหรือหนุ่มๆจะตัดสินใจควักเงินในกระเป๋า ขอให้คิดซักนิดว่า สิ่งที่กล่าวอ้างมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่ เรากำลังจ่ายเงินซื้อความฝันอยู่หรือเปล่า โดยทั่วไปทางองค์การอาหารและยาได้เสนอแนวทางการเลือกซื้อเครื่องสำอางคร่าวๆ ดังนี้


แนะนำหากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่จะจ้างผลิตเครื่องสำอาง ควรเลือก โรงงานผลิตเครื่องสำอาง คุณภาพ ภายใต้ทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญและกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ปลอดภัยได้มาตรฐาน ASEAN GMP, HACCP, HALAL

การเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัยมี 5 วิธี ดังนี้


1.เลือกซื้อเครื่องสำอางจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีการระบุแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ และมีหลักแหล่งแน่นอน เพราะถ้าหากมีปัญหาจะติดต่อผู้รับผิดชอบได้
2.เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทยต้องอ่านมองเห็นได้ชัดเจน และต้องระบุข้อความที่จำเป็น ดังนี้

  • ต้องตรวจสอบเลขที่ใบรับแจ้ง ว่ามีตัวเลขครบ 10 หลัก
  • ต้องดูชื่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และชื่อทางการค้า ซึ่งต้องมีขนาดใหญ่เด่นชัดกว่าข้อความอื่น
  • ต้องดูประเภทหรือชนิดของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
  • ดูชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง เรียงตามลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย
  • ดูวิธีใช้ผลิตภัณฑ์
  • มี ชื่อ – ที่อยู่ของผู้ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศ/ชื่อและที่ต้องของผู้นำเข้า และชื่อผู้ผลิต ประเทศที่ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางนำเข้า
  • ดูปริมาณสุทธิของผลิตภัณฑ์
  • ตรวจสอบ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต ,เดือน ปี ที่ผลิต หรือปี เดือนที่ผลิต ,เดือน ปีที่หมดอายุ หรือปี เดือนที่หมดอายุ ในกรณีที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานน้อยกว่า 30 เดือน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hydrogen peroxide
  • ถ้าฉลากมีพื้นที่น้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร ให้แสดงเฉพาะชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้าของเครื่องสำอาง และเลขที่แสดงครั้งที่ผลิต ส่วนรายละเอียดอื่นให้แสดงในเอกสารกำกับเครื่องสำอาง


3. เลือกซื้อเครื่องสำอางต้องมีการบรรจุหีบห่อที่ยังอยู่ในสภาพดี บรรจุภัณฑ์ไม่แตกรั่ว เสียหายและมีเก็บรักษาอย่างดี ไม่อยู่ในที่ร้อน ชื้นหรือโดนแสงแดด


4. ต้องไม่หลงเชื่อคำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์เกินจริง


5. ก่อนใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ต้องทดสอบก่อนใช้ทุกครั้ง สามารถตรวจสอบโดยการทาเครื่องสำอางในปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขน แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติก็แสดงว่ามีความปลอดภัย สามารถใช้กับเราได้
เครื่องสำอาง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อความสะอาด และเพื่อความสวยงาม เท่านั้น การอ้างถึงสรรพคุณเกินจริง เช่น สามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรค หรือมีผลต่อโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ต่าง ๆ ของร่างกายที่เป็นสรรพคุณทางยา จะจัดเป็นผลิตภัณฑ์ยาไม่ใช้เครื่องสำอาง


ตัวอย่างเช่น โลชั่นปลูกผม ครีมเสริมสร้างทรวงอก ครีมลดไขมัน สบู่ลดความอ้วน โลชั่นกระชับจุดซ่อนเร้น ครีมฆ่าเชื้อโรค ลดอาการผิวหนังอักเสบ แก้คัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีการแสดงสรรพคุณทางยา ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา


โดยส่วนมากเครื่องสำอางที่ขายในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู ยาสีฟัน โลชั่นบำรุงผิว น้ำหอม ลิปสติก เครื่องสำอางทาแก้ แต่งตา ทาเล็บ ย้อมผม เป็นต้น จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุม ซึ่งต้องมีการมาจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนผลิตหรือนำเข้า เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าสามารถใช้เครื่องสำอางอางได้อย่างปลอดภัย


และแม้ว่าการเลือกซื้อเครื่องสำอาง การเลือกใช้เครื่องสำอางจะเป็นเพียงเพื่อความสะอาดและความสวยงามเท่านั้น แต่ก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ดังนั้นก่อนเลือกซื้อควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นให้ดีเสียก่อน



ที่มา:คู่มือ อย.น้อย ปีงบประมาณ พ.ศ.2558 กลุ่มพัฒนาเครือข่าย กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา,www.oryornoi.com

วิธีสังเกต เครื่องสำอางที่ปลอด ดูอย่างไร


ในยุคที่สังคมให้ความสำคัญกับความสวยความงาม ธุรกิจเครื่องสำอางทั้งของผู้หญิงและผู้ชายจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากโฆษณาที่กล่าวอ้างถึงสรรพคุณทั้งในแง่ช่วยหน้าขาวใส ไร้สิว รูขุมขนกระชับ ช่วยลดริ้วรอยในเวลาชั่วข้ามคืน ช่วยชะลอวัยต้านอนุมูลอิสระ แต่ก่อนที่สาวๆหรือหนุ่มๆจะตัดสินใจควักเงินในกระเป๋า ขอให้คิดซักนิดว่า สิ่งที่กล่าวอ้างมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่ เรากำลังจ่ายเงินซื้อความฝันอยู่หรือเปล่า โดยทั่วไปทางองค์การอาหารและยาได้เสนอแนวทางการเลือกซื้อเครื่องสำอางคร่าวๆ ดังนี้


แนะนำหากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่จะจ้างผลิตเครื่องสำอาง ควรเลือก โรงงานผลิตเครื่องสำอาง คุณภาพ ภายใต้ทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญและกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ปลอดภัยได้มาตรฐาน ASEAN GMP, HACCP, HALAL

การเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัยมี 5 วิธี ดังนี้


1.เลือกซื้อเครื่องสำอางจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีการระบุแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ และมีหลักแหล่งแน่นอน เพราะถ้าหากมีปัญหาจะติดต่อผู้รับผิดชอบได้
2.เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทยต้องอ่านมองเห็นได้ชัดเจน และต้องระบุข้อความที่จำเป็น ดังนี้

  • ต้องตรวจสอบเลขที่ใบรับแจ้ง ว่ามีตัวเลขครบ 10 หลัก
  • ต้องดูชื่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และชื่อทางการค้า ซึ่งต้องมีขนาดใหญ่เด่นชัดกว่าข้อความอื่น
  • ต้องดูประเภทหรือชนิดของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
  • ดูชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง เรียงตามลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย
  • ดูวิธีใช้ผลิตภัณฑ์
  • มี ชื่อ – ที่อยู่ของผู้ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศ/ชื่อและที่ต้องของผู้นำเข้า และชื่อผู้ผลิต ประเทศที่ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางนำเข้า
  • ดูปริมาณสุทธิของผลิตภัณฑ์
  • ตรวจสอบ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต ,เดือน ปี ที่ผลิต หรือปี เดือนที่ผลิต ,เดือน ปีที่หมดอายุ หรือปี เดือนที่หมดอายุ ในกรณีที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานน้อยกว่า 30 เดือน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hydrogen peroxide
  • ถ้าฉลากมีพื้นที่น้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร ให้แสดงเฉพาะชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้าของเครื่องสำอาง และเลขที่แสดงครั้งที่ผลิต ส่วนรายละเอียดอื่นให้แสดงในเอกสารกำกับเครื่องสำอาง


3. เลือกซื้อเครื่องสำอางต้องมีการบรรจุหีบห่อที่ยังอยู่ในสภาพดี บรรจุภัณฑ์ไม่แตกรั่ว เสียหายและมีเก็บรักษาอย่างดี ไม่อยู่ในที่ร้อน ชื้นหรือโดนแสงแดด


4. ต้องไม่หลงเชื่อคำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์เกินจริง


5. ก่อนใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ต้องทดสอบก่อนใช้ทุกครั้ง สามารถตรวจสอบโดยการทาเครื่องสำอางในปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขน แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติก็แสดงว่ามีความปลอดภัย สามารถใช้กับเราได้
เครื่องสำอาง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อความสะอาด และเพื่อความสวยงาม เท่านั้น การอ้างถึงสรรพคุณเกินจริง เช่น สามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรค หรือมีผลต่อโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ต่าง ๆ ของร่างกายที่เป็นสรรพคุณทางยา จะจัดเป็นผลิตภัณฑ์ยาไม่ใช้เครื่องสำอาง


ตัวอย่างเช่น โลชั่นปลูกผม ครีมเสริมสร้างทรวงอก ครีมลดไขมัน สบู่ลดความอ้วน โลชั่นกระชับจุดซ่อนเร้น ครีมฆ่าเชื้อโรค ลดอาการผิวหนังอักเสบ แก้คัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีการแสดงสรรพคุณทางยา ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา


โดยส่วนมากเครื่องสำอางที่ขายในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู ยาสีฟัน โลชั่นบำรุงผิว น้ำหอม ลิปสติก เครื่องสำอางทาแก้ แต่งตา ทาเล็บ ย้อมผม เป็นต้น จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุม ซึ่งต้องมีการมาจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนผลิตหรือนำเข้า เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าสามารถใช้เครื่องสำอางอางได้อย่างปลอดภัย


และแม้ว่าการเลือกซื้อเครื่องสำอาง การเลือกใช้เครื่องสำอางจะเป็นเพียงเพื่อความสะอาดและความสวยงามเท่านั้น แต่ก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ดังนั้นก่อนเลือกซื้อควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นให้ดีเสียก่อน



ที่มา:คู่มือ อย.น้อย ปีงบประมาณ พ.ศ.2558 กลุ่มพัฒนาเครือข่าย กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา,www.oryornoi.com

รู้จักกับ สาหร่ายแดง ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อนาคตแห่งการบำรุงผิว


สาหร่ายแดง คือ สาหร่ายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงาม มีสารสำคัญที่หลายคนรู้จัก นั่นคือ “แอสตาแซนทิน (Astaxanthin)” เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม สารสกัดจากพฤกษาธรรมชาติ ในทางการแพทย์จึงใช้สาหร่ายสีแดงมาช่วยลดผลกระทบจากอนุมูลอิสระที่จะทำให้เกิดโรคแห่งความเสื่อม เพราะฤทธิ์ของแอสตาแซนทินในสาหร่ายสีแดงที่จะช่วยป้องกันโรคภัยและดูแลสุขภาพนั้นมีมากมายเกินกว่าที่คุณคิดไว้แน่นอน และในวันนี้ขอยกตัวอย่าง


สาหร่ายแดง คืออะไร?

สาหร่ายแดง เป็นสาหร่ายชนิดหนึ่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส (Haematococcus pluvialis) มีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เช่น ประเทศสวีเดน ความพิเศษของมันที่เหนือกว่าสาหร่ายอื่น ๆ คือ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ขาดอาหารและน้ำ เผชิญกับแสงแดด ความร้อนหรือความหนาวเย็นที่มากเกินปกติ จะปรับกลไกการทำงานของเซลล์ให้ผลิตสารสีแดง ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า “แอสตาแซนธิน” ขึ้นมาเก็บสะสมไว้ เป็นเสมือนเกราะที่ทำหน้าที่ปกป้องนิวเคลียสของเซลล์จากภาวะขาดน้ำและอาหารที่เกิดขึ้น ทำให้มันสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ แม้จะอยู่ในสภาวะขาดน้ำและอาหารนานถึงกว่า 20 ปี


ด้วยคุณสมบัตินี้เอง ทำให้สาหร่ายแดงกลายเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และมีการนำสารแอสตาเธชินจากสาหร่ายแดง มาใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์และแวดวงอาหารเสริมกันอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน

แอสตาเเซนธิน ในสาหร่ายแดง มีประโยชน์อย่างไร

แอสตาแซนธิน ในสาหร่ายแดง จัดเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) มีประโยชน์มากในฐานะสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ถึงกับมีฉายาว่าเป็นราชาในสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ เพราะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารชนิดอื่น ๆ เช่น สูงกว่า โคเอนไซม์ คิวเทน 800 เท่า คาทีซิน (สารสกัดจากชาเขียว) 560 เท่า วิตามิน C 6,000 เท่า วิตามิน E 550 เท่า และเบต้าแคโรทีน 40 เท่า


นั่นจึงทำให้ แอสตาแซนธิน ถูกนำไปใช้ในงานวิจัยมากมาย เพื่อใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพของมนุษย์ โดยเบื้องต้นพบว่าสามารถรักษาโรคและอาการต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ป้องกันการอักเสบของกล้ามเนื้อ จากการออกกำลังกาย ป้องกันและเสริมความแข็งแกร่งให้กับไขข้อกระดูก รักษาอาการอ่อนล้าของดวงตา ตลอดจนเสริมสมรรถภาพของเชื้ออสุจิให้แข็งแรง โดยงานวิจัยต่าง ๆ แม้จะมีผลการทดลองออกมาอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีจำนวนน้อย ยังคงเห็นผลได้ไม่แน่ชัด จึงยังคงต้องทำการศึกษาและทดลองต่อไป เพื่อยืนยันผลงานวิจัย ให้มีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น

สาหร่ายแดง กับประโยชน์ในการบำรุงผิว


เมื่อศึกษาถึงประโยชน์ในการรักษาโรคและอาการต่าง ๆ ก็มาถึงการศึกษาค้นคว้า ในการนำสาหร่ายแดง มาใช้ในการบำรุงผิวกันบ้าง ซึ่งเมื่อสกัดเอาสารแอสตาแซนธินมาใช้งาน พบว่า สามารถช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวได้ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น


ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย
จากงานวิจัยต่างประเทศ 2 ครั้ง ในปี 2002 และ 2006 ในกลุ่มทดลองผู้หญิง ที่มีอายุระหว่าง 40 และ 47 ปี พบว่า เมื่อให้กลุ่มทดลองอายุ 40 ปี รับประทานแอสตาแซนธิน 2 มิลลิกรัมคู่กับวิตามินอี 40 มิลลิกรัม ทุกวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ กับกลุ่มอายุ 47 ปี รับประทานแอสตาแซนธิน 2 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ พวกเธอต่างรู้สึกว่าสุขภาพผิวดีขึ้น ความแห้งและหยาบกระด้างของผิวลดลง ผิวมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยบนใบหน้าก็ดูลดลง นั่นจึงแสดงว่า แอสตาแซนธินมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ไม่ว่าจะกินเดี่ยว หรือ กินคู่กับวิตามินที่มีฤทธิ์ในการบำรุงผิวเช่นเดียวกันก็ตาม


ปกป้องผิวจากแสงแดด
รังสี UV ในแสงแดด คือตัวการหนึ่งที่ทำให้ผิวหนังของเราแห้งเสีย และทำให้เซลล์ผิวเสื่อมไว ในปี 2010 จึงมีการศึกษาผลของแอสตาแซนธินต่อฤทธิ์ในการปกป้องรังสียูวีเอ (UVA) โดยใช้การเลี้ยงไฟโบรบลาสท์ (fibroblast) ในเซลล์ผิวหนังมนุษย์ แล้วนำไฟโบรบลาสท์ไปผ่านรังสียูวีเอที่มีความเข้มข้น 10 J/cm2 เป็นเวลา 6-24 ชั่วโมง และใช้แอสตาแซนธินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่าแอสตาแซนธินสามารถช่วยยับยั้งผลของรังสียูวีเอที่ทำให้เกิดการออกซิไดซ์ จึงกล่าวได้ว่าแอสตาแซนธินสามารถต้านรังสียูวีเอ ที่มีผลทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ผิว ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ป้องกันการเกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอยได้

ข้อควรระวังในการรับประทานสาหร่ายแดง



จากงานวิจัยต่าง ๆ ที่ค้นพบถึงประโยชน์ของสาหร่ายแดง ทำให้มันมักถูกนำมาผลิตในรูปแบบของอาหารเสริม จนหารับประทานได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะในรูปของสาหร่ายแดงเองเลย หรือนำมาสกัดในรูปแบบของสารแอสตาแซนธินเข้มข้น อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการรับประทานบางอย่าง เช่น


รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน ควรบริโภคเพื่อให้ได้รับ แอสตาแซนธิน ประมาณ 4 – 12 มิลลิกรัม หากรับประทานมากเกินไป จนได้รับวันละ 48 มิลลิกรัมทุกวัน อาจจะทำให้มีอุจจาระสีแดงได้


บริโภคอาหารที่มีไขมันควบคู่ไปด้วย
เพราะแอสตาแซนธินในสาหร่ายแดง จัดเป็นสารแคโรทีนอยด์ที่ละลายได้ดีในน้ำมัน จึงควรมีการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันด้วย เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น


ห้ามสตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีโรคบางชนิดรับประทาน
ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของ Astaxanthin ในสตรีตั้งครรภ์หรือสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีผลการวิจัยรับรอง ถึงการนำไปใช้อย่างปลอดภัย รวมถึงผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ภาวะกระดูกพรุน แคลเซียมต่ำ ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ผิดปกติ ฮอร์โมนผิดปกติ หรือภาวะความดันโลหิตผิดปกติ ด้วย


แนะนำโรงงงาน SGECHEM รับผลิตครีม อันดับ 1 ของไทย ที่ผลิตให้แบรนด์มาแล้ว 1000 กว่าแบรนด์ ที่มีมาตรฐาน ทุกขั้นตอนการ รับผลิตครีม โดยจะมีทีมงานดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านดูแลโดยเฉพาะ